วันเสาร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2552

"ขอนแก่นไฟต์คลับ" ชมรมแห่งมิตรภาพ

ชมรมขอนแก่นไฟต์คลับ 2008
ผมขอแนะนำตัวเองก่อนนะครับ ผมชื่อ ครุฑ ไมเนอร์
ชื่อครุฑ ไมเนอร์ของผมไม่ใช่ชื่อจริง นามสกุลจริง แต่เป็นชื่อ
ที่ใช้ในชมรมและเวบไซต์เท่านั้นนะครับ ^ _ ^
บทความนี้ผมจะกล่าวถึงเรื่อง ชมรมขอนแก่นไฟต์คลับ 2008
ชมรมที่ผมรักและผมมีส่วนก่อตั้งมาตั้งแต่เริ่มแรก ผมไม่รู้ว่าชมรม
นี้รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร ผิวขาวหรือดำ อ้วนหรือผอม
แต่ผมก็รู้สึกว่ามันเหมือนผู้หญิงสาวสวย หมวยเอ๊กส์ที่พราวเสน่ห์
ชวนให้หลงไหล อยากที่จะต้องมาหา กระสันที่จะเข้ามาได้ตลอด
ความใฝ่ฝันของผมหลายปีที่แล้ว คือการได้รวมกลุ่มเพื่อนๆสักกลุ่มหนึ่ง
ที่ฝึกฝนหรือสนใจเรื่องราวของศิลปะการต่อสู้อย่างจริงจังและจริงใจ
แต่มันก็เป็นได้แค่ความฝันจากจินตนาการประจำวันของผมเท่านั้น
ตั้งแต่ปี พ.ศ.2550 ผมได้มาทำงานที่ขอนแก่น ทั้งที่ไม่ได้อยากมาสักเท่าไหร่นัก
แต่ก็ต้องยอมรับสภาพแวดล้อมบ้านเกิดเมืองนอนให้ได้อีกครั้ง.......
ชีวิตหลังเรียนจบมหาลัย ก้าวสู่วัยทำงานชั่วข้ามคืน มันเป็นสิ่งที่ท้าทาย
และกดดัน ไม่มีอะไรจะดีไปกว่า การได้อยู่โลกส่วนตัวของตัวเอง
ที่มีความสุขไปได้วันๆ เรื่องราวของศิลปะการต่อสู้มันคงยังดังก้องในใจตลอด
เวลา.....
ต้นเดือน กรกฏาคม 2551 เป็นช่วงที่ชีวิตผมเริ่มพบสิ่งใหม่ ที่ผมต้องการตาม
หามาหลายปี .... หลังจากที่ผมได้ไปสัมภาษณ์ แชมป์ K-1 2004 แล้วอัพโหลด
ลงเวบไซต์ของK-1 Thailand เพียง 1 วัน ก็มีคนโพสต์คอมเมนต์ชื่นชมผลงาน
การสัมภาษณ์ของผมมากมาย และ 1 ในคนโพสต์คอมเมนต์นั้น ทำให้ผมได้รู้ว่า
มีคนขอนแก่น ที่ติดตามข่าวสารศิลปะการต่อสู้ด้วย .....
หลังจากนั้นไม่กี่วัน คนคนนี้ได้ตั้งกระทู้ในเวบไซต์เดิม หัวข้อเชิญชวนให้มาร่วม
ฝึกซ้อมศิลปะการต่อสู้ในมหาวิทยาลัยขอนแก่น พร้อมลงเบอร์โทรศัพท์ติดต่อ
ผมไม่รอช้า.... ผมได้โทรติดต่อไป และจากการสนทนา บทสรุปก็คือ
เวลา 2 ทุ่ม ผมต้องไปที่ชมรมเทควันโด มข ให้ได้ในวันนี้....
....ถึงเวลา 2 ทุ่ม ผมเดินทางถึงที่นัดหมายกับคุณอ้น(ภายหลังได้เป็นหัวหน้าชมรมขอนแก่นไฟต์คลับ คนปัจจุบัน) คนที่ผมได้โทรติดต่อไป ... นอกจากคุณอ้น
ผมได้พบพี่ไผ่(Tanker) คุณหยู คุณกอล์ฟ คุณบอมม์ คุณเป้ คุณแป๊ป
และอีกหลายคน ที่มีจิตใจเหมือนกับผม จิตใจที่รักสิลปะการต่อสู้ จิตใจที่
เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่มีอีโก้ให้แปดเปื้อนความรู้สึก
....ผมคิดว่า ความฝันของผมเป็นจริง ความฝันของผมได้ถูกปลดปล่อย
จากพันธนาการภายใต้จินตนาการ มันได้ออกมาให้ผมเห็นแล้ว.............เย้..........
จากนี้ไปผมมองเห็นอนาคตตัวผมเอง ผมเลือกสิ่งที่ผมต้องการได้แล้ว
(ขอนแก่นไฟต์คลับ 2008 ชมรมที่เป็นศูนย์รวมนักสู้และผู้สนใจศิลปะการต่อสู้
ทั่วภาคตะวันออกเฉียงเหนือ)

วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2552

มวยไทยในเกาหลีใต้และประเทศไทย

ศาสตร์วิชาการต่อสู้มวยไทย เป็นศาสตร์การสังหารมนุษย์ด้วยมือเปล่าที่น่ากลัวและทรงประสิทธิภาพมากที่สุด ด้วยอวัยวะส่วนต่างๆของร่างกายมนุษย์ที่ดัดแปลงสภาพเป็นอาวุธ ไม่ว่าจะเป็นหมัด เท้า เข่า ศอก ศีรษะ เป็นต้น

เพราะเหตุนี้ในยุคของสงครามโลกโบราณของดินแดนสุวรรณภูมิ ยุทธวิธีการรบแบบมือเปล่าลักษณะเช่นมวยไทยจึงถูกนำมาใช้ในสงครามด้วย ผสานกับอาวุธกระบี่ กระบอง ดาบ ง้าว จึงยังผลให้บังเกิดท่วงท่ายุทธลีลาห้ำหั่นในสมรภูมิอย่างดุเดือดและเด็ดขาด โหดร้าย จนน่าสะพรึงกลัว

ยุคปัจจุบัน เป็นยุคที่ไร้สงครามอาวุธมีคม และได้พัฒนาอาวุธที่ทรงอานุภาพยิ่งกว่านั่นคือ "ปืน" แต่อาวุธมือเปล่า คือศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัว มิได้หายสาบสูญไปตามกาลเวลา แถมยังได้พัฒนากระบวนการและระบบในตัวของศาสตร์วิชามานับร้อยนับพันปี อาจเรียกได้ว่า ยุคปัจจุบันคือยุคที่ศิลปะการต่อสู้ได้พัฒนามาจนถึงจุดอิ่มตัว และได้แตกแขนง ต่อยอดไปต่างๆนานา

มวยไทยเองก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น มวยไทยได้พัฒนารูปแบบจากหน้ามือเป็นหลังมือ มาเป็นรูปแบบปัจจุบันไม่เกิน 100 ปีมานี้ มวยไทยได้ถูกนำเสนอเผยแพร่ไปทั่วโลกในเชิงธุรกิจและการกีฬา จนได้รับการชื่นชมและได้รับความนิยมไปทั่วโลก
อาทิ ยุโรป อเมริกา แอฟริกา ออสเตรเลียและในทวีปเอเชีย

หากกล่าวถึงดินแดนในทวีปเอเชีย ประเทศที่นิยมมวยไทยสูงสุดคงหนีไม่พ้นประเทศแห่งซามูไร ญี่ปุ่นนั่นเอง นอกจากญี่ปุ่นแล้วแถบใกล้เคียงญี่ปุ่น ที่มวยไทยกำลังได้รับความนิยมไม่แพ้กันในช่วงเวลาไม่กี่ปีมานี้ ก็คือ เกาหลีใต้

เกาหลีใต้ ดินแดนต้นกำเนิดศิลปะการต่อสู้ที่มีชื่อเสียง อย่างเทควันโด ฮัพคิโด
ก็เริ่มหันมายอมรับและเรียนรู้มวยไทยเพิ่มขึ้น เพราะอานิสงค์ของภาพยนตร์แอคชั่นคนไทย เล่นจริง เจ็บจริง ไม่ใช้ตัวแสดงแทนและพระเอกใช้วิชามวยไทยเป็นจุดขายของภาพยนตร์ จนคนเกาหลีใต้ทุกเพศ ทุกวัยคลั่งไคล้พระเอกนักบู๊ จา พนมของเรากันยกใหญ่ ยังไม่พอเท่านั้น ยังมีนักมวยไทยร่างเล็ก นามว่า ก้าวไกล แก่นนรสิงห์ ได้ไปคว้าแชมป์ K-1 Grand Prix in Soul Korae 2004 จนคนเกาหลีอึ้ง ทึ่งมาแล้ว พ่วงด้วยดีกรีในปี 2005 ได้รองแชมป์ (แพ้คะแนนนักมวยเกาหลี ร่างยักษ์ใหญ๋สูง 2 เมตรกว่า แต่ชนะใจคนดูทั่วโลก) ตอกย้ำภาพลักษณ์มวยไทยในสายตาคนเกาหลีให้เราได้ปลื้มมากยิ่งขึ้น

โปรโมเตอร์ชาวเกาหลีที่ผมรู้จักและเคยคุยกัน เค้าเผยกับผมว่า "มวยไทยเป็นศิลปะการต่อสู้ที่ผมรัก เยาวชนชาวเกาหลีตอนนี้หันมาเรียนรู้มวยไทยมากกว่าเทควันโดซะอีก" ยอดโปรโมเตอร์เผยอย่างปลาบปลื้ม

แล้วมวยไทยในประเทศบ้านเกิด ทำไมกลับตลาปัด เยาวชนไทยหันมาเรียนรู้และฝึกเทควันโดมากกว่ามวยไทยซะอีก เราจะปลื้มหรือปลงดีละงานนี้...